top of page

เนปาล

Writer: Jay JayasiriJay Jayasiri
หุบเขาแห่งมันตรา ป่าหิมพานต์ สรวงสวรรค์ และความยากไร้

: นิตยสารสกุลไทย กันยายน 2014 ค่ำคืนสงัดงันคืนหนึ่ง นามว่า "มหาราตรี" ในดินแดนกลางหุบเขาแห่งนี้ เสียงโก่งคอร้องขอชีวิตอย่างแหบโหยดังแหวกความมืดขึ้นมาเสียงแล้วเสียงเล่า เพียงไม่ทันจะย่ำรุ่ง ทั่วทั้งหุบเขาก็ระงมไปด้วยเสียงอันน่าขนพองสยองเกล้า และถูกทาบทาด้วยโลหิตอันแดงฉาน


นี่คือคืนก่อนวันเข้าสู่พิธีบูชายัญประจำเทศกาลดาเชน หรือ "ทุรคา ปูชา" เทศกาลบูชาเจ้าแม่กาลี ที่แพะเกินสองหมื่นห้าพันกว่าชีวิตรวมทั้งสัตว์เล็กสัตว์น้อยอย่างไก่ ไปจนถึงกระบืออีกจำนวนมากจำต้องลาโลกไปในเช้าวันเดียวนั่นเพราะมนุษย์ในฐานะ"คนบาป"ทำพิธีสังเวยเจ้าแม่ทุรคา และใช้โลหิตเท-ทา ประพรม ปูชาไปทั่วทุกจุด แม้กระทั่งตามสนามหญ้า หรือตามล้อยานพาหนะประจำบ้านเรือน

นี่สินะ ที่มาของคำว่า "แพะรับบาป" ที่เกิดขึ้นในวันที่ 8 หรือวัน "มหาอัชตามี" แห่งเทศกาลเซ่นสรวงบูชาเจ้าแม่ทุรคาที่เชื่อกันว่าบัดนั้น ได้ทรงเกษมอยู่ ณ เทือกเขาหิมาลัยอันสูงใหญ่เกินวาสนาและเกินสายตาจะมองขึ้นไปเห็น ด้วยว่าเป็นดินแดนที่แลลับอยู่ในหมู่เมฆตลอดชั่วนาตาปี..

เอเวอเรสต์ : ภพทิพย์แห่งทวยเทพ


ณ ดินแดนสีขาวกระจ่างแห่งนั้น ในใจของชาวฮินดีถือว่าเป็นที่สถิตแห่งทวยเทพทั้งหลายทั้งปวงที่เป็น ดุจศูนย์กลางแห่งชีวิตและความเชื่อทั้งหมด ทั้งพระพรหม พระนารายณ์ และพระศิวะ ที่ออกพระนามรวมกันเข้าว่าพระตรีมูรติอันเป็นเทพหลัก กระทั่งเทพรองลงไปอีกมากมายจนล้นเกินจินตนาการ ด้วยว่าชาวเนปาลนั้นเชื่อว่าบนแดนสรวงนั้น มีทวยเทพสถิตอยู่กว่าสามล้านพระองค์


ดังนั้น ดินแดนที่ราบสูงเชิงขุนเขาที่ได้รับสมญานามว่า "หลังคาโลก" แห่งนี้ จึงท่วมท้นไปด้วยเทพปกรณัม คติ ความเชื่อที่ดำรงรากเหง้ามายาวนาน นานจนบางครั้งเกินจะทำความเข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตถูกลิขิตมาโดยเทพ ณ "สวรรค์ชั้นฟ้า" บนยอดภูผาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลขึ้นไปถึง 8,000 กว่าเมตร ประกอบด้วยยอดเขาที่สูงที่สุดของโลกถึง 8 ยอด มีไกรลาส อันนะปุระ นันทาเทวี และหิมาลัยเป็นอาทิ


จากแดนหิมพานต์ไกลโพ้น แดนสรวงถูกเชื่อมโยงลงมายังพื้นพิภพโดยลำน้ำทั้งห้า อย่างคงคา ยมุนา สรภู อจิรวดีและมหิ รวมทั้งลำน้ำอื่นๆ อย่างสินธุและพรหมบุตรที่ทอดประสานไปทั่วอนุทวีป หนึ่งในลำน้ำขนาดมหึมาอย่างลำน้ำคงคานั้นไหลมาจากเบื้องบนและร้อยเอาอินเดีย เนปาล ปากีสถานและศรีลังกาเข้าด้วยกัน พร้อมๆ กับความเชื่อในฐานะฮินดูศาสนิก


เพราะความเชื่อเป็นเครื่องกำกับชีวิต พิธีกรรม วัฒนธรรม ประเพณี ทั้งสิ่งปลูกสร้าง การแต่งกาย อาหาร ฯลฯ ในเนปาลจึงเต็มไปด้วยรายละเอียดระดับที่น่าตื่นตาตื่นใจไปจนถึงน่าตกตะลึง อย่างเช้ามืดวันเข้าเทศกาลบูชาเจ้าแม่ทุรคาที่ว่าไป..


โดยทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างประเทศจีนทางภาคเหนือ และประเทศอินเดียในภาคใต้ เนปาลมีผู้นับถือศาสนาฮินดูอยู่ราวๆ 4 ใน 5 ส่วนของจำนวนประชากร และนอกจากคติจากศาสนาฮินดูแล้ว ชายแดนใต้ของเนปาลยังครอบคลุมเอาเมืองประสูติในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าง"ลุมพินีวัน" เข้าไว้ในอาณาเขต ดินแดนนี้จึงเคยเรืองรองด้วยพระพุทธศาสนาที่เผยแผ่มาจากอินเดียเช่นกัน - ถึงวันนี้ เนปาลจึงเป็นดินแดนที่ประกอบด้วยหลายสิ่งผสมผสานกันอยู่จนแน่นขนัดเต็มความรู้สึก


กระนั้นก็ดี นักประวัติศาสตร์จากยุโรปได้บันทึกไว้ว่า "พุทธศาสนาไม่มีอยู่จริงในเนปาล" คงเป็นเพราะการหลอมละลายเข้าหากันของความเชื่อจากศาสนาฮินดูและพุทธที่เกือบจะกลืนเอาปรัชญาหลักแห่งพุทธศาสนาไปเสียสิ้น ชาวฮินดีจำนวนมากกราบไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นพระอวตารปางเดียวของเทพเจ้าในศาสนาฮินดูเท่านั้น



ทั้งคติความเชื่อเรื่องเทพเจ้านับล้านๆ พระองค์ รวมทั้งเทพปกรณัม ยอดเขา สายน้ำ และตำนานอีกหลายร้อยหลายพันเรื่องราวที่ดำรงผ่านกาลเวลามานับเนื่องเป็นพันๆ ปีที่ปรากฏอยู่ตามคัมภีร์มหาภารตะและพระเวทย์ต่างๆ เป็นทุกอย่างของเนปาล เป็น "ที่มาที่ไป" ของขนบ ประเพณีและเทศกาลอีกนับร้อยๆ วาระ เหล่านั้นเองคือสีสันพรรณรายแห่งเนปาล ดินแดนกลางหุบเขา"กตมณฑป" หรือกาฏมัณฑุ อันหมายถึง "เรือนยอดแห่งพระมณฑปบนขุนเขา" นี้


นคราแห่งยอดมณฑปนี้ เป็นเมืองที่ก่อเกิดขึ้นรายล้อมพระมหาสถูปสวายัมภูวนาถ มหาสถูปโพธินาถ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวพุทธมันตระยานจากฟากข้างเหนือของเนปาล ซึ่งได้รับอิทธิพลจากพุทธสายจีนและธิเบต ทั้งยังมีวัดปศุปฏินาถ อันเป็นศูนย์รวมพิธีกรรมความเชื่อต่างๆ ของชาวฮินดีในเนปาล ในขณะเดียวกัน กาฐมันฑุยังมีย่านช้อปปิ้งแนวๆ อย่าง"ทาเมล"ที่เกิดจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนเครื่องมือและเครื่องยังชีพในการไต่เขาเพื่อขึ้นไปยังยอดสูงที่สุด (เท่าที่มนุษย์จะสามารถขึ้นไปถึง) ของเทือกเขาหิมาลัย นามว่า "เอเวอเรสต์" ในขณะที่นักเดินทางทั่วไปอาจประสงค์จะไป "เห็น" ยอดเขาเอเวอเรสต์ด้วยตาสักครั้งในชีวิต เพียงแค่ได้หมายมองจากที่พักแรมบนยอดเขานาคากฏ ที่ระดับความสูงราวสองพันเมตรก็เพียงพอ


การไปเยือนเนปาล บางคนอาจจะเริ่มที่ใจกลางกรุงกาฐมัณฑุ อย่างวัดปศุปตินาถ ณ ที่นั้น ท่ามกลางกลิ่นเนื้อมนุษย์และพวยควันจากกองฟอนที่กำจายออกไปทั่วอาณาบริเวณ นอกจากเราจะได้เห็น"ชีวิต" ด้วยตาแล้ว แทบทุกคนจะได้เห็นลึกลงไปถึงภายในหัวใจตนเอง



ทิวแห่งศิวลึงก์สถาน 9 ห้อง แห่งวัดปศุปตินาถ เมื่อมองจากภายนอก

……..

วัดปศุปตินาถ

ฮินดูศาสนสถานอายุกว่า 600 ปีที่อยู่เกือบใจกลางกรุงกาฐมัณฑุ ข้างเนินเขาที่มีสายน้ำภคมติไหลผ่านนี้ ได้รับการขนานนามตามเทพ "ปศุปตินาถ" เทพที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งปวงบนพื้นพิภพ ในอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ประกอบด้วยด้วยศาสนสถานที่อนุญาตให้เฉพาะชาวฮินดูเข้ากราบไหว้ รายรอบด้วยเทวสถาน และศิวลึงค์สถูปอีกมากมายหลายสิบองค์ ภายในล้วนประดิษฐานไว้ด้วยศิวลึงก์ สัญญลักษณ์แห่งการเกิด ความอุดมสมบูรณ์และการล่วงไปสู่ชาติกำเนิดใหม่ เคียงคู่ไปกับสัญญะแห่งองค์พระศิวะอย่างรูปจำหลักโค "นนทิ" ผู้เป็นพาหะในพระองค์


หนึ่งในดาบสที่พบเห็นอยู่ดารดาษ ณ ที่พำนักท้ายวัด



ตลอดรายรอบบริเวณนับจากทางขึ้นสู่เนินเขา แล้วเดินลงสู่ตลิ่งชายน้ำเต็มไปด้วยนักแสวงบุญจากลัทธิต่างๆ มากมาย ทั้งที่จาริกมาและที่อยู่อาศัยในบริเวณ ..

และหากจะพูดกันถึงการท่องโลกเพื่อแสวงหาคำตอบเพื่อฟื้นฟูจิตวิญญาณ "ไฮไลท์" ของเนปาล คงจะเป็น"ฌาปนสถาน" ของวัดแห่งนี้ สถานที่ที่เราได้เห็นความไร้ค่าของสังขารอย่างใกล้ชิด สังขารที่เป็นผู้กำกับการแสดงบงการให้ทุกชีวิตต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ดำรงอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด การดำรงอยู่ของสังขารคือทั้งหมดของชีวิต


น่ากังขาว่าจะมีสักกี่คนที่เห็นว่าสังขารที่ตนครองอยู่นี้ ที่แท้คือภาระ คือทุกข์ แม้สิ้นลมหายใจแล้ว สังขารที่เราไม่อาจดำรงดูแลได้ต่อไป ยังเป็นภาระแห่งคนที่อยู่ข้างหลังอีกด้วย

หากมนุษย์ทุกคนได้มาเห็น เพื่อหยุดคิดสักนิด ว่าถึงที่สุดแล้ว แม้แต่ชีวิตก็คือความว่างเปล่าที่ยึดกุมอะไรไว้ไม่ได้เลย หากได้เห็น ได้เข้าใจดังนั้น โลกคงสงบลงกว่านี้มาก..


ทุกปีมีนักเดินทางนับแสนๆ คนมานั่งลงตรงริมสายน้ำภัคมตินี้ เพื่อทอดตาไปยังฝั่งตรงข้าม ที่ซึ่งกองฟอนและควันไฟลอยคลุ้งอยู่เบื้องบนของวัดฮินดูอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อยู่ชั่วนาตาปี นอกจากควันจากไม้ฟืนแล้ว อณูแห่งหมอกควันกลุ่มนี้ยังปะปนอยู่ด้วยสิ่งที่เคยเป็นร่างกายของมนุษย์ จึงไม่น่าแปลกใจที่นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งเข้ามายังบริเวณนี้พร้อมกับผ้าปิดจมูก

เมื่อเพ่งมองไปให้ละเอียดกว่าระดับอณู แน่นอนว่าควันไฟที่ลอยสู่สรวงสวรรค์นั้นบอกเราหลายอย่างยิ่งกว่าที่ตาเห็น และนาสิกได้กลิ่น


"เรือนขาว" ที่พำนักสุดท้ายของร่างชาวฮินดูเนปาลี ก่อนพิธีชำระด้วยอัคคี แล้วฝากเถ้าถ่านลงในแม่น้ำภัคมติ เพื่อให้สายน้ำนำจิตวิญญาณกลับสู่สรวงสวรรค์ ผ่านทางเทพคงคามหานที


หากพระมหาสถูปโพธินาถที่อยู่ห่างออกไปเพียงห้า-หกกิโลเมตร จะบอกเล่าถึงทุกรายละเอียดในความเป็นสวรรค์ชั้นฟ้า ที่วัดปศุปฏินาถกลับบอกเราถึงความไร้ค่าของทุกอย่าง บอกให้เรานึกถึงความงามความดีส่วนตัว ความชั่ว และอาจนึกถึงนรก..


เปลวไฟที่แลบเลียอยู่บนกองฟอนซึ่งถมทับร่างกายที่นอนซ่อนอยู่ภายใต้ท่อนฟืนขนาดใหญ่ ณ เบื้องหน้า ไม่ได้ให้ภาพอุจาดหรือทุเรศนัยน์ตา ทว่าทุกอย่างถูกจัดการด้วยความเรียบ ง่าย และเป็นธรรมต่อสังขารของผู้ที่จากไป กระนั้น แต่ละขั้นตอนยังเป็นไปตามคติฮินดูอย่างไม่ได้ขาดตกบกพร่อง เพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจหมายถึงผู้วายชนม์จะหลุดประตูสวรรค์ไปชนิดฉิวเฉียด..


ภายในเวลาอันจำกัดเพียงยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังลมหายใจสุดท้าย ลูกหลานเพศชายของผู้จากไปต้องนุ่งห่มร่างกายด้วยผ้าขาวผืนเดียวที่เรียกว่าโกธา ศีรษะโกนเกลี้ยง เปลือยท่อนบน อดอาหาร และลงมือส่งวิญญาณพ่อแม่ไปสู่ภพหน้าโดยการนำพาร่างมาสู่แท่นชำระริมตลิ่ง เพื่อชำระกายภายนอกด้วยน้ำจากสายน้ำภัคมติ สายน้ำที่เมื่อไหลพ้นไปจากกาฐมัณฑุนี้ จะเชื่อมร้อยตนเองเข้ากับแม่น้ำคงคาซึ่งรินไหลลงมา และจะย้อนนำพาวิญญาณมนุษย์ไปสู่แดนสรวง


 

ณ วัดปศุปตินาถ ที่ซึ่งตลิ่งตลอดแนวยาวของลำน้ำถูกสร้างเป็นบันไดก่ออิฐถือปูน มี "ฆาฏ" ซึ่งเป็นแท่นประกอบพิธี สำหรับฌาปนกิจสรีระสังขารผู้คนแทบทั้งหมดที่เป็นฮินดูศาสนิกเรียงรายกันอยู่เป็นระยะ และเมื่อสิ้นเชื้อเพลิง เศษสิ่งที่หลงเหลือจากการเผาไหม้บนฆาฏนั้นก็จะถูกคราดทิ้งลงสู่ลำน้ำภัคมติข้างหน้านั่นเอง ฆาฏ หรือเชิงตะกอนริมตลิ่งเหล่านี้ ยังแยกไว้สำหรับผู้มีวรรณะสูง-ต่ำแตกต่างกันไป ตามความคิดความเชื่อเรื่องวรรณะ ที่ "ไม่มีทางแก้ได้" ของชาวฮินดูที่ดำรงมานานเกินพันปี


เจ้าหน้าที่นั่งเฝ้า และดูแลผู้วายชนม์เป็นครั้งสุดท้ายภายใต้กองฟอน


 

ในหมู่คัมภีร์หลักๆ อย่างคัมภีร์ไตรเภท คัมภีร์อาถรรพเวท คัมภีร์มหาภารตะ คัมภีร์อัคนิปุราณะ คัมภีร์ฤคเวท ฯลฯ ล้วนจารไว้ซึ่งตำนานอันเป็นที่มาของสิ่งทั้งหลาย ความเชื่อหนึ่งที่ดำรงผ่านกาลเวลามาเป็นพันๆ ปีที่เป็นเครื่องยืนยันว่ามีการแบ่ง "สี" มาตั้งแต่สมัยโบราณ คือการแบ่ง "วรรณะ" ซึ่งแปลว่าสีนั่นเอง

หากเมื่อถึงวาระ วรรณะและฐานันดรศักดิ์ไม่ได้ช่วยอะไร แม้แต่กษัตริย์พิเรนทรพีรพิกรมศาหเทวะ สมเด็จพระราชินีไอศวรรยา และพระบรมวงศานุวงศ์อีก 6 พระองค์ที่เสด็จสวรรคตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในพระราชวังกาฐมัณฑุเมื่อปี พ.ศ. 2544 ก็ได้รับการถวายพระเพลิงพระศพที่วัดปศุปตินาถแห่งนี้โดยทุกพระองค์


ไม่ต่างจากที่ผู้ยากไร้พาตนเองมานอนรอความตาย วิธีหนึ่งที่ญาติของผู้ป่วยหนักทำได้คือพาผู้ป่วยมานอนรอวาระสุดท้ายที่ "ตึกขาว" อาคารเก่าๆ ข้างแนวฌาปนสถานริมตลิ่ง อาคารนี้รองรับผู้กำลังเดินทางสู่จุดสิ้นสุดของตน ก่อนถึงวาระนั้น ลูกหลานหรือเจ้าหน้าที่จะหยอดน้ำมนต์ที่ปรุงขึ้นจากจากแม่น้ำคงคาและใบตุลสีใส่ปากให้ "ตุลสี" คือใบกระเพรา พืชที่เกิดจากนางตุลสี อีกหนึ่งเทวีที่รักยิ่งแห่งพระนารายณ์ผู้ถูกพระนางลักษมีสาปให้เป็นใบไม้ด้วยหึงหวง ตุลสีจึงเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้บัดพลีพระนารายณ์ และการได้รับน้ำมนต์ก่อนตาย นับเป็นการชำระกายภายในให้บริสุทธิ์พร้อม นั่นเป็นอีกหนึ่งคำอธิบายว่า เหตุใดเราจึงเห็น"ตุลสี" ยืนต้นสูงใหญ่อยู่หน้าที่ทำการของพระอารามแห่งนี้


ในเวลาเพียงชั่วโมงเศษ มีรถจากหน่วยงานอนามัยต่างๆ นำร่างที่ต้องการฌาปนกิจทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย ร่างที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาวคือชาย ส่วนหญิงอยู่ภายใต้แพรสีสดอย่างสีดอกดาวเรือง ภายใต้ผ้าทั้งสองสี ไม่มีใครได้เห็นความต่างหรือสูงต่ำดำขาว ที่นี่ทุกร่างเสมอเหมือนกัน ต่างถูกหามใส่แคร่ทยอยเข้ามาตลอดวัน จึงไม่น่าแปลกใจที่รวมแล้วแต่ละปี สถานที่แห่งนี้ส่งวิญญาณกว่าห้าพันดวงขึ้นสู่สรวงสวรรค์

ตามความเชื่อของชาวฮินดู ยังมีสรีระของบุคคล 4 จำพวกที่ไม่ต้องผ่านพิธีฌาปนกิจ ได้แก่กายของสาธุ หรือสันยาสี นักบวชทั้งหลายที่ละแล้วซึ่งชีวิตแบบคฤหัสถ์ ไม่ครองทรัพย์ ประเพณีจึงถือให้ผู้ที่อยู่ข้างหลังช่วยชำระร่างนั้นให้ปลอดมลทินแล้วฝากลงกลางแม่น้ำคงคา ส่วนกลุ่มผู้ไร้ทรัพย์นั้น เดิมจะจัดการกันเองโดยการฝากลงแม่น้ำคงคา แต่ปัจจุบัน ทางรัฐบาลจะจัดสงเคราะห์ให้การฌาปนกิจอย่างไม่มีเงื่อนไข อีกสามจำพวกคือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี สาวพรหมจารี ซึ่งมาจากคติที่ว่า "สตรีใดไม่ได้ผ่านการมีสามี นางคือกาลกิณี" จำพวกสุดท้ายคือผู้ที่ถูกอัสนีบาต ซึ่งถือว่าถูกชำระแล้วด้วยอัคคี


ทั้งหมดนี้เป็นข้อกำหนดที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์มหาภารตะ

ความเชื่อของมหาปราชญ์โบราณและพราหมณ์ซึ่งทรงอิทธิพลแม้เหนือราชสำนักและกษัตรย์เหล่านี้ดำรงอยู่มานานผ่านคัมภีร์ต่างๆ ตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล การเดินย้อนรอยทางอดีตและความเป็นมาของแต่ละประเทศขึ้นไปนั้นทำให้เราต่อสายจินตนาการออกไปได้นานกว่าที่เคยรับรู้ ถึงปัจจุบัน เนปาลยังคงเต็มไปด้วยนักบวช สาธุ สันยาสี มุนี ฤาษี ดาบส พรต พราหมณ์ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือโยคีที่นักเดินทางย่อมได้พบเห็นจนเจนตา


แม้มนุษย์กำลังจะย้ายถิ่นฐานไปสู่ดวงจันทร์ หรือกระทั่งดาวอังคาร แต่เรายังได้เห็นนักพรตเหล่านั้นเจริญตบะด้วยวิธีการโบราณต่างๆ ตามแรงศรัทธา ยิ่งได้รู้ถึงที่มาที่ไป นักเดินทางจะตื่นใจ ยิ่งกว่าที่ตื่นตา

หลายคนบำเพ็ญเพียรด้วยการทอดทิ้งร่างกายให้อยู่ส่วนร่างกาย ตามลัทธิ "ลูขวัตร" ที่มีมาก่อนพุทธกาลด้วยซ้ำ ว่า"กายนี้เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์" เราจึงได้เห็นนักบวชที่กองร่างโสมมของตนอยู่ข้างถนน ด้วยเจตนาจะให้ตนเสมอเหมือนเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งที่เดินอยู่โดยรอบ บางคนทอดทิ้งกาย ผม เล็บ ฟันให้เป็นเรือนแห่งโรคผิวหนังและบาดแผลต่างๆ จนนอกจากแมลงวันมากมายแล้ว ไม่มีผู้คนกล้าเฉียดกราย


บางพวกบริกรรมกลางแสงแดด เคลือบกายด้วยเถ้าจากกองเพลิงศักดิ์สิทธิ์ หรือเถ้าจากฌาปนกิจ อดอาหาร เปลือยกาย ปิดวาจาตลอดชีวิต งดของหมักดอง ทรมานกายด้วยความเจ็บปวด ดัดตน ฯลฯ แม้แต่เจ้าชายสิทธัตถะเองก็ผ่านการบำเพ็ญตบะในบางลัทธิเหล่านี้มาก่อนแล้ว ก่อนจะทรงตระหนักว่าไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ พระอาจารย์สองรูปที่ชาวพุทธคุ้นนามกันดี คืออาฬารดาบส และอุทกดาบส

รวมทั้งโกณฑัญญะและเพื่อนนักพรตอีกสี่คนที่อยู่ในลัทธิ "ปัญจวัคคิ" ซึ่งหมายถึงฤาษีผู้บูชา "อัคคี 5 กอง" ที่ย่างกิเลสอยู่รอบๆ ทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง และสุดท้ายคือ "ไฟ" แห่งดวงอาทิตย์ที่แลบเลียลงมาจากเบื้องบน ฤาษีทั้งห้านั้นก็เคยติดตามสั่งสอนเจ้าชายสิทธัตถะมาก่อนตรัสรู้..


สองนักบวชคู่หูในบริเวณที่อาศัยท้ายวัด หนึ่งแต่งกายเป็นหนุมาน และอีกหนึ่งบรรเลงคีตารอรับเงินบริจาค

กระนั้น พระองค์ก็มิได้ทรงจบการบำเพ็ญตบะในวิธีการเหล่านั้นด้วยมือเปล่า ทว่าได้ทรงบรรลุญาณขั้นสูงสุดจากมหาดาบสทั้งสอง อีกทั้งศีล 5 อันเป็นข้อวัตรพื้นฐานที่สุดที่สามารถนำพามนุษย์เข้าสู่โลกแห่งสันติได้ ก็ปรากฏว่าเป็นข้อวัตรจากลัทธิต่างๆ นั่นเอง เมื่อทรงนำมารวมกันขึ้น จึงเกิดเป็น "ศีลพื้นฐาน" แห่งพุทธมามกะ..


ไม่มีความพยายามใดที่ไม่ส่งผล ความเพียรอันสุจริตย่อมนำไปสู่ผลสำเร็จ แต่ผลสำเร็จนั้นเองก็แตกดับได้ เพราะบทสุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ คือไม่มีสิ่งใดคงอยู่ได้ตลอดไป

"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" คือคำอธิบายทุกความผันแปรได้โดยเที่ยงแท้


รวมทั้งความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดของราชวงศ์มัลละ ผู้เป็นศาสนูปถัมภกแห่งพระพุทธศาสนาในอีกสองอาณาจักรโบราณแห่งเนปาล คือเมืองปาฏาน และภัคตปุระที่อยู่ห่างออกไปจากพระพุทธมหาสถูปสวายัมภูวนาถ หัวใจแห่งชาวพุทธเนปาล ที่ประดิษฐานอยู่ ณ จุดสูงสุดของหุบเขาแห่งสีสันแห่งนี้ ที่ที่เราจะไปเยือนกัน ในตอนที่ 2 ต่อไป


 

พุทธปฏิมา คือพุทธศิลป์อันวิเศษในฉบับธิเบตมหายาน



ภาพซ้อนแห่งภายในศิวลึงก์สถาน 9 ห้อง ที่เรียงรายเลียบข้างลำน้ำภัคมติ


เจ้าแพะน้อยเดินตามเจ้าของคนใหม่ต้อยๆ มุ่งหน้าสู่อรุณรุ่งสุดท้ายของชีวิตในเช้ามืดวันพรุ่งนี้



ใครใคร่ค้าผลไม้ค้า สรรพสิ่งนานาแลกเปลี่ยนกันอย่างเรียบง่าย สินค้าในเนปาลโดยมาก ผ่านกระบวนการผลิตแต่เพียงเล็กน้อย ไม่ซับซ้อน แต่กลับให้ความรู้สึกงดงามตามธรรมชาติ


"เกิด" และ "แก่" เดินผ่านเรือนพักสุดท้ายที่มี "เจ็บ" และ "ตาย" อยู่ภายใน


พ่อค้าหนุ่มน้อย กับเนื้อมะพร้าวห้าว ของว่างราคามิตรภาพตามข้างถนนในกาฐมัณฑุ


เส้นทางเดินขึ้นลงเนินเชื่อมระหว่างอาณาบริเวณต่างๆ ในวัดปศุปตินาถ


พุทธศิลป์วางขายกับพื้นในนามของสินค้าตกแต่ง สะท้อนได้ชัดเจนว่าสำหรับเนปาลีแล้ว พระอาทิพุทธเจ้าเป็นเพียงอวตารเดียวของเทพพระองค์หนึ่งเท่านั้น "พุทธศาสนาแท้ๆ ไม่มีปรากฏในเนปาล"


Comments


Post: Blog2_Post
  • Facebook
  • Facebook

©2021 by Jayasiri @ SIAM   HERITAGES    CONSULTANTS   BANGKOK

bottom of page