top of page

ฟินแลนด์อพยพ

Writer: Jay JayasiriJay Jayasiri

เรื่อง / ภาพ : ชยสิริ วิชยารักษ์ เห็นภาพเด็กๆ “ฟินแลนด์อพยพ” นี้แล้ว นึกถึงกระแส “โยกย้าย” ที่เกิดขึ้นมา ว่ากันว่าคนไทยจำนวนมากเลือกจะไปอยู่ฟินแลนด์ ดินแดนที่มีความสุขที่สุดในโลก*


ภาพถ่ายจาก Jew Museum ที่เบอร์ลิน ในวิกฤตของฟินแลนด์จากอดีต เด็กเล็กเด็กโตนับแสนคนต้องอพยพไปจากฟินแลนด์ พ่อแม่ลูกต้องจำใจแยกจากกัน เขาทำเพื่อความอยู่รอดของประเทศ แม้จะไม่รู้ความเท่าไหร่ แต่เด็กจำนวนเกือบแสนคนที่ถูกส่งออกจากฟินแลนด์ไปสวีเดน หรือนอร์เวย์ เด็กจำนวนมากกลายเป็นเด็กกำพร้า ส่วนคนรุ่นพ่อแม่ก็ได้เสียสละลูกไป ถ้าใครเป็นพ่อแม่คนจะรู้ดีว่านั่นคือ “ความทุกข์ที่ทนได้ยาก” ในหลักทางพระพุทธศาสนา ..


บางครอบครัวไม่มีวันได้กลับมาเจอกันอีก แต่ทุกคน ทุกฝ่ายทำเพื่อประเทศชาติของเขา

หันมามองปัจจุบัน การย้ายประเทศ ส่วนหนึ่งไปเพราะหมดหวังกับปัญหาที่หมักหมม มองไม่เห็นอนาคต หรือกระทั่งไปเพราะชังชาติ ไปเพราะนึกถึงโอกาสและความเจริญของตัวเอง ซึ่งไม่ผิด เพียงแต่เป้าหมายต่างกัน ฟินแลนด์ส่งเด็กอพยพออกไป แล้วผู้ใหญ่อยู่ เขาสละชีวิตเพื่อรักษา “ส่วนรวม” และชาติ

ส่วนประเทศเรานั้นคนหนุ่มสาวและเยาวชนประกาศว่าจะไป เพื่อโอกาส “ของตน”

ไม่ขอออกความเห็นไปมากกว่านี้ รู้แค่ว่า “ไม่มีประเทศไหนที่ไม่มีปัญหาของตัวเอง” และ “ไม่มีที่ไหนเป็นประเทศที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าดินแดนนั้นไม่ใช่ที่ของเรา และเราไปเกาะเขาอยู่ โดยไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือคุณงามความดีอะไร หรือแม้กระทั่งเคยเข้าใจกับประวัติการสร้างชาติของเขาเลย

ส่วนวาทะเรื่องการส่งมอบสังคมและประเทศที่ผุพังให้คนรุ่นถัดไป เรื่องนี้ก็น่าสนใจ เราผุพังจริงไหม ? แล้วคนที่กล่าวโทษประเทศนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความผุผังนั้นๆ ด้วยไหม ? ขอไม่นำมาขยายผล เพราะประชาชนส่วนมากของชาติ เยาวชน และผู้คนทุกเพศทุกวัยที่เรียนและทำงานเพื่อขับเคลื่อนสังคมจริงๆ - ยังมีอยู่อีกมากมายมหาศาล

“การส่งมอบ” สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือผู้ส่ง กับผู้รับมอบ ต้องหันหน้าเข้ามาหากัน โดยมีสิ่งที่มอบอยู่ตรงกลาง ทั้งสองฝ่ายต้องมีใจ คนส่งมอบต้องมีสิ่งดีๆ จะให้ และคนรับก็ต้องเห็นคุณค่า รับของสิ่งนั้นมาอย่างมีแผนการจะรักษาและทนุถนอม


สิ่งที่น่าสนใจคือเราจะมีความคิดพอไหม ที่จะหันหน้าเข้าหากัน เปิดใจรับฟัง ด้วยสติ แสวงหาความรู้ที่จะช่วยกัน เตรียมส่งมอบ และรับมอบประเทศชาติของเรา เราจะไม่ใช้วิธีก่นด่า บ่นว่า ชิงชัง รังเกียจ เรียกร้อง ต้องการ และเมื่อไม่ได้ดังใจ ต้องยอมรับว่ายังไง นี่ก็คือประเทศของเราเอง

ปัญหามีทุกที่ เราจำเป็นต้องพยายามทำหน้าที่ของตัวเองไป ให้เหมาะกับวัย และเวลา เมื่อถึงโอกาส เราย่อมมีความพร้อม สัจจะหนึ่งคือทุกคนจำเป็นจะต้องเข้ามาแสดงบทบาทและหน้าที่อยู่แล้ว

คนรุ่นปัจจุบันอยู่ได้อีกไม่เกิน 15 ปี อำนาจ-หน้าที่ ที่จะย่ำยีสังคมและบ้านเมือง ก็ทำได้อีกไม่เกิน 10 ปี เพราะฉะนั้น เหตุใดเราจึงไม่ใช้ช่วงเวลานี้ บ่มเพาะความรู้ความสามารถของตัวเองและสร้างประเทศตัวเองให้เป็นที่ที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง


ความเป็นชาติและความเป็นฟินแลนด์ที่เขาได้มาวันนี้ เพราะฟินแลนด์ไม่เคยทิ้งตัวตน ศักดิ์ศรี และความเป็นชาติบ้านเมือง หรือหอบตัวเองหนีไปเกาะประเทศอื่น เขาพิจารณา เขารู้จักตัวเอง มีเกียรติ มีความรู้ สติปัญญาและความสามารถมากพอที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาประเทศด้วยมือตนเอง


ในสงครามฤดูหนาวกับรัสเซีย นักสู้ชาวฟินแลนด์ทุกคน แม้จะรู้ดีว่าออกรบไปก็แพ้ (สัดส่วน 1 : 50) แต่เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะตายอย่างไรให้ช้าที่สุด ก่อนตาย หนึ่งชีวิตของเขาต้องเอาชนะทหารรัสเซียให้ได้มากที่สุด ซึ่งทุกคนก็ทำอย่างถวายชีวิตจริงๆ (ฟังเฉลยตัวเลขได้ในพ็อดคาสต์)


ไม่ว่าชาวฟินน์หนึ่งคนเอาชนะคนรัสเซียได้มากมายกี่คนก็ตาม ตัวเลขที่เล่าไปนั้นไม่ได้นำความภาคภูมิใจมาให้ใคร แต่กลายเป็นความเศร้า เพราะเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะฟินแลนด์หรือรัสเซีย เราได้เสียเพื่อนมนุษย์บนโลกใบเดียวกับเราไปนับหมื่นชีวิต

ส่วนประชากรวัยเด็กที่อพยพออกจากฟินแลนด์ครั้งนั้น ต่อมาเติบโตขึ้น มีลูกมีหลาน และปรากฏหลักฐานว่าคนรุ่นนั้นรวมทั้งรุ่นถัดๆ มา ล้วนมีปัญหาทางจิต และบาดแผลทางใจเกือบทุกคน

..

แถมท้ายว่า ในระยะหลังมานี้ ยังมีนักเรียน วัยรุ่น และคนหนุ่มสาวชาวฟินแลนด์ไปเยี่ยมสุสานทหารและนักรบอาสา ผู้เสียชีวิตจากสงครามฤดูหนาวครั้งนั้นอยู่ ไม่ทอดทิ้งห่างหาย ตามแผ่นป้ายจารึกชื่อผู้จากไปยังมีผู้นำดอกไม้สดนั้นมาวางไว้เพื่อระลึกถึงเจ้าของนามเหล่านั้นเสมอๆ ชาวฟินแลนด์ถือว่าทุกคนที่สละตัวเองเพื่อรักษาฟินแลนด์ไว้ “แม้ไม่ใช่ญาติ แต่ก็คือญาติ” ที่สัมพันธ์กันด้วยประเทศชาติ ..

การหาดอกไม้สดไปเยี่ยมเยียนสุสานของทหาร และคนรุ่นปู่รุ่นย่าที่เสียชีวิตในสงครามฤดูหนาวครั้งนั้น โดยคนหนุ่มสาวผู้อ่อนเยาว์แห่งยุคปัจจุบัน มันสะท้อนอะไรบ้าง สำหรับคนหลากรุ่น และคนหนุ่มสาวที่เกิดบนแผ่นดินของเรา


สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากอดีตของฟินแลนด์ คือคนในชาติใดชาติหนึ่งต่อต้านอำนาจจากภายนอกร่วมกัน เพื่อรักษา ประเทศของตัวเองเอาไว้ ในขณะที่บางประเทศ ผู้คนในประเทศซึ่งใช้ภาษาเดียวกัน แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และกำลังทำร้ายกันและกัน ประเทศที่ว่านั้นจะอยู่อย่างไรต่อไป ? ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้ ให้สมกับเหตุ ปัจจัย สติ ปัญญา และวัย แล้วช่วยกันหาคำตอบ

 

***(ข้อมูลปี 2018) องค์การสหประชาชาติได้จัดลำดับประเทศที่คนมีความสุขมากที่สุดในโลก 3 ลำดับแรกคือ ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และเดนมาร์ก ฟินแลนด์มีประชากร 5.5 ล้านคน เป็นประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีที่ 1.45 ล้านบาท เป็นลำดับที่ 25 ของโลก

 
 
 

留言


Post: Blog2_Post
  • Facebook
  • Facebook

©2021 by Jayasiri @ SIAM   HERITAGES    CONSULTANTS   BANGKOK

bottom of page