หรือว่า from applications to shopping websites จะรู้จักคนไทยมากกว่าเจ้าตัว ?
เป็นเรื่อง : เพราะการลงทะเบียนรับวัคซีน ในแอพพลิเคชั่นนู่นนี่นั่น ลงแล้วลงอีก หลายเจ้าภาพหลายหน่วยงาน นั่นคือเรามาถึงจุดที่ต้องฉุกใจคิดแล้วว่าข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเรา อย่างต่ำที่สุดคือคนไทย 40 กว่าล้านคน (คือทุกคนที่ใช้สมาร์ทโฟน มีอินเตอร์เน็ท และออนไลน์ รวมทั้งลงและใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆ)
เรื่องราวของเราถูกนำไปสะสมไว้ในระบบ (และ สมมติว่า อาจจะถูกเอาไปสมทบกับข้อมูลของกระทรวงใดๆ ) บริษัทบัตรเครดิตหลายๆ บริษัท บริษัทโทรศัพท์ บริษัทแอพพลิเคชั่น และอินเทอร์เน็ต
องค์กรพวกนี้จะรู้เรื่อง experience /Behavior และ Insight ของผู้คนแทบทั้งหมดที่มีกิจกรรมออนไลน์ แต่ละองค์กร แต่ละบริการ แต่เดิมอาจจะรู้คนละเรื่อง ตอนนี้เขาอาจร่วมมือกันเพื่อผนวกข้อมูลแล้วแบ่งกันใช้
"6.6 sale / แอบสั่งสินค้าอะไร ภรรยาคุณไม่รู้ แต่เว็บ 'ช้อปเลยพรี่' รู้"
"ซื้อกระเป๋ากี่แสน คุณพ่อไม่รู้ แต่บัตรเครดิตรู้"
"ย้ายที่ทำงานไปไหน เจ้าหนี้ไม่รู้ แต่ Google map รู้"
"คอเลสเตอรอลพุ่งไหม ตัวคุณไม่รู้ แต่ รพ.รู้"
"จองโรงแรมแอบไปนอนเงียบๆ คนเดียวที่ไหน แฟนไม่รู้ แต่ Aโกบ้า รู้"
เมื่อองค์กรยักษ์ใหญ่ และเครือข่ายทั้งหลายลงหุ้น เพื่อร่วมมือกันสร้าง DATA แห่งชาติ ขึ้นมา แต่ละองค์กร แต่เดิมที เขาอาจจะรู้คนละเรื่อง มาตอนนี้ เขาอาจร่วมมือกันเพื่อลงขันด้านข้อมูล เกิดเป็นทะเลสาบ DATA ขนาดมหึมา แล้วแบ่งกันเอาไปใช้งาน (โดยเจ้าของข้อมูลจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เช่นกรณีลงทะเบียนวัคซีนผ่าน apps ใหม่รายวัน จากเจ้าภาพร้อยพ่อพันแม่ ) เช่น สมมติ : ฐานประชากรของกระทรวงใดๆ ผนวก DATA จากเหล่า รพ.เอกชน บัตรเครดิต ค่ายโทรศัพท์มือถือ ค่ายอินเทอร์เน็ต /GPS เป็น 10ๆ /สายการบิน เครือข่ายโรงแรม / platforms online /ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอาหาร บริษัทขนส่งพัสดุ แถมด้วยแอพพลิเคชั่นเป็นร้อยๆ แอพ สังเกตหรือไม่ว่าทุกคนลงมาเล่นเรื่องนี้ ?
ทุกบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกล้วนลงทุนไปเพื่อ BIG DATA และระบบเทคโนโลยีหนักมาก
ใครสร้าง DATA ไม่ทัน เขาก็ไล่ซื้อบริษัทที่เล็กกว่า ซื้อ start-ups เพราะโลกหมุนเร็ว รอไม่ได้ โอกาสมีหมุนเข้ามาแล้วหมุนออกไปในพริบตา ถ้าช้าคือแพ้แล้ว
ส่วนผู้บริโภค เราไม่มีคำว่า New Normal อีกต่อไป ทุกวัน จะมีแต่คำว่า NOW normal และ NEXT normal ต้องเตรียมเงินไว้ให้พอ เพื่อความอยู่รอดและรักษาชีวิต
องค์กรต่างๆ จะทำอะไรได้บ้างกับ DATA ที่เขาครอบครองไว้? 1. เป็น ASSET เอาไว้ใช้เอง : เขาจะรู้ Demographic data / phychographic data และแนวโน้มทั้งหมด รู้พฤติกรรมหลัก/รอง ของผู้บริโภค รู้สถานที่อยู่ รู้ความเจ็บป่วย รู้รายรับ รู้รายจ่าย รู้ของที่สั่งซื้อ รู้ขนาดครัวเรือน รู้สิ่งที่สนใจ และรู้สิ่งที่อยากได้ อยากซื้อ รู้วัคซีนที่เคยได้ เอาแค่เรื่องธุรกิจยา เมื่อเขามองเห็นปัจจุบันและอนาคตของตลาดขนาดมหึมานี้แล้ว ในระบบอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ โรงพยาบาล หรือเมดิคอลแอนด์เฮลท์แคร์ สิ่งที่จะขายได้ตามมาอีกมีมากมาย เพราะคนเราไม่อยากตาย ตัวอย่างก็เช่น
วัคซีนสำหรับปีต่อๆ ไป (เป็นค่าใช้จ่ายใหม่ที่ทุกบ้านต้องมี)
บริการ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน
หรือการใช้จ่ายระหว่างปีที่ระบาด และปีต่อๆไป (เชิงรักษาและป้องกัน)
หรือการสร้างระบบประกันสุขภาพแบบเอกชนขึ้นมาขาย คือเราซื้อเอง-จ่ายเอง
อุปกรณ์ สินค้าเพื่อสุขภาพ ป้องกัน และรักษา
บริการ Quarantine
ธุรกิจด้านท่องเที่ยว ที่พัก บริการที่เกี่ยวข้องกับ bubble travelling + supply chain
บริการ medical + real estate
2. COLLABORATION / Sharing economy : ลามไปถึงการลงทุนในธุรกิจที่ดิน และที่อยู่อาศัย และ supply-chain ที่สอดคล้องกับอนาคต ที่เราต้องอยู่กับไวรัสตัวต่อๆไป และออกแบบชีวิตกันใหม่ เพื่อความอยู่รอด
ดังนั้น เราจะได้เห็นรูปธรรมใหม่ๆ ในวงการที่อยู่อาศัย เราจะมี medicopolis คือเป็นกลุ่มประชากรหลายร้อยครัวเรือนที่อยู่ร่วมกันในประเทศอายุยืน มี complex มีบริการไลฟ์สไตล์ มีสถานบริการสุขภาพ ทั้งสำหรับคนทุกวัย เพื่อให้รอดพ้นจากโรคระบาด หรือผู้สูงวัยที่มีกำลังซื้อสูงๆ และไม่สามารถจะรับความเสี่ยงใดๆ ได้ ทุกคนที่ไม่อยากตาย และมีเงินมากพอ ล้วนเป็นลูกค้าทั้งสิ้น จะเข้าถึงคนกลุ่มนี้อย่างไรให้เร็วกว่าคู่แข่ง / ใน big DATA มีคำตอบ
3. ขาย DATA ให้คนอื่น
CUSTOMER 360 : เราจะมีระบบ customer 360 ที่องค์กรยักษ์ใหญ่จะรู้เรื่องของเราหมดทุกเรื่อง แม้กระทั่งอัตราการเต้นของหัวใจ วิ่งวันละกี่กิโล วิ่งที่ไหน วิ่งกับใคร วิ่งเมื่อไหร่ กินอะไรเข้าไปบ้าง กี่แคลอรี่ รู้ไซส์ของเสื้อผ้า ยี่ห้อรองเท้า รู้ความดัน รู้ BMA ในขณะที่เจ้าตัวอาจจะรู้น้อยกว่าด้วยซ้ำ
APPLICATIONS : แอพพลิเคชั่นรู้เรื่องของเราทุกย่างก้าว รู้ไปถึงขนาดว่าวันนี้เรานัดใครใน social network ของเรา เราจะใช้เส้นทางไหน รถติดไหม จ่ายค่าไวน์ยี่ห้ออะไร เราจะถึงบ้านกี่โมง แวะเติมน้ำมันอะไร ฝนตกไหม ควรตั้งอุณหภูมิเครื่องทำน้ำอุ่นยังไง เวลาเรากลับมาถึงบ้านจะได้พอดี
เรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้วโดยปฏิเสธไม่ได้ หนีก็ไม่พ้น เพราะเขาออกแบบไว้แล้ว และเราตกอยู่ในระบบด้วยการลงทะเบียน และผ่านอุปกรณ์ ผ่านเครื่องใช้ และแอพพลิเคชั่นทุกอย่างที่เราลงของเราเอง ด้วยสมาร์ทโฟนในมือเราเอง ไม่ว่าจะเพราะชอบความสะดวกสบาย หรือมีอาการ #FOMO > fear of missing-out หรือเพราะกิเลส หรือความเกินพอดีใดๆ ก็ตาม
ถาม : จะพึ่งรัฐบาลได้ไหม กับ พ.ร.บ. และระบบคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเรา ? ตอบ : ควรไหมที่คิดแต่จะพึ่งเขา ? จะพึ่งได้ไหม ก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้เลื่อนบังคับใช้ออกไปปีหน้า (มกราคม 2565) + เพราะเทคโนโลยีต้องใช้เวลา รวมทั้งสมรรถภาพของกระทรวงทบวงกรมต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วย ถ้าดูจากตัวอย่างเรื่อง สมมติ ประชาชนถูกเรียกค่าไถ่และวัคซีนแล้ว เราจะเห็นว่าเรายังไม่มีใครคุ้มครองดูแล น่าจะเอาตัวไม่รอด . พรบ. เงินกู้ก้อนใหม่ : ถ้าดูจากที่เขาอภิปรายเรื่อง พรบ. เงินกู้ก้อนใหม่ ที่ผ่านสภากันไปเมื่อเช้านี้ (10 มิถุนายน 64) ส่วนตัว คิดว่าเราไม่ค่อยได้เรียนรู้อะไรเท่าไหร่ โดยเฉพาะเรื่องประสิทธิภาพของเงินที่เคยกู้ๆ มา
ต่างคนต่างทำ ประชาชนไม่ได้รู้เรื่องยอดหนี้สินของตัวเองที่รัฐบาลกู้มา ว่าจะตรวจสอบได้ที่ไหน ? เงินที่ประเทศไปกู้มาถูกใช้ไปกับอะไร เท่าไหร่ ? มีการรีวิวไหม ? ที่ใช้ไปแล้วได้ผลหรือเปล่า? มี errors อะไร? . แล้วเงินที่จะเอามาใหม่เป็นหนี้เพิ่มจะเอามาต่อยอดยังไง หรือปรับปรุงสิ่งที่ไม่ได้ผลจากก้อนแรกๆ ยังไง? . เงินถูกกู้มาเพื่อการลงทุนและสร้างรายได้ใหม่ๆให้ประเทศหรือเปล่า? หรือเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการลดแลกแจกแถมไปเรื่อยๆ ? อัน นี้ ก็ ไม่ รู้
คำถามสำคัญก็คือว่า จริงๆ เราจะเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้หรือยัง? หรือระบบของเราและรัฐบาลมัววิ่งตามหลังปัญหาตลอดเวลา อย่าว่าแต่จะคุยเรื่อง Data science เลย
คิดไปคิดมา เราต้องเป็นสังคมพึ่งพาตัวเองนั่นแหละ ถูกต้องที่สุด
ข้อดีของการมี DATA ที่คุยกันมานี้ ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าประเทศไทยนั้นเหมาะที่สุดแล้ว กับหลักเศรษฐกิจพอเพียง และเรายังขาดสิ่งที่จำเป็น ทั้ง :
ความเชื่อในความเพียร และพึ่งพาตนเอง
ระบบการเมืองที่ดี
ระบบธุรกิจที่จริงใจกับสังคม / อยากให้มี social enterprise เยอะๆ
Media / data literacy ของประชากร
Data - informed decission : หลายประเทศกำลังรณรงค์ และมีแผนระยะกลางให้ประชาชนของเขาเข้าใจ มันคือ "การตัดสินใจที่มีคุณภาพ จาก DATA และข้อมูลข่าวสารที่ตรงความจริง"
การที่จะไปถึงการตัดสินใจตรงนั้นได้ เราต้องมีความสามารถที่จะอ่าน DATA / information ของตัวเองเป็น ใช้ข้อมูลข่าวสารเป็น และปกป้องตัวเองจากระบบที่ยักษ์ใหญ่ร่วมมือกันผูกขาด และลิดรอนอำนาจการตัดสินใจของตัวเรา - ลดการลักไก่ขายของ
"AI + algorithm จะเข้ามาสิงชีวิตเรา คิดการขาย การตลาด และตัดสินใจแทนเราทุกอย่าง" แนวโน้มนี้ ตัวเราต้องเชื่อก่อนว่าคงเป็นไปไม่ได้ทั้ง 100% 1.เทคโนโลยีเรายังไม่ได้ไปไกล และแพงขนาดนั้น 2.เรามีทางเลือกมากกว่า (ถ้าเราเลือกเป็น) ที่จะใช้สิ่งที่เรามี และมีสิ่งที่เราต้องใช้ 3. เราจะรู้เท่าทันเพทุบายทางการค้า และเท่าทันความเปลี่ยนแปลง เพราะเราไม่ใช่เหยื่อ เทคโนโลยีที่เรามี เราจะใช้ แต่ไม่เป็นทาส ทั้งหมดนี้คือเดินทางสายกลาง มีแล้วก็รู้จักพอ ที่เหนือกว่า algorithm และ AI คือ Mind Marketing : ถ้าผู้บริโภคแกร่ง พ่อค้า+ปัญญาประดิษฐ์ทำอะไรเราไม่ได้
Commentaires