เรื่องลุงพล เป็นเพียงกรณีศึกษาในเรื่องบทบาทหน้าที่ของสื่อ แต่เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง
กรณีลุงพล : ศัตรูของสังคมไทยไม่ใช่สื่อ แต่คือ "อวิชชา"
1. เรากำลังต้อง Watch E dog อีกที
2. ในสังคม 0.4 ที่ทุกคนเป็นสื่อ และคนเสพข่าวก็ซื่อ เสพข่าวด้วยความเพลิดเพลิน และอารมณ์
3. ผู้คนขาด media literacy ไม่เข้าใจเรื่องของ media landscape "ระบบนิเวศในโลกของสื่อ"
4. ทุกคนที่ถูกหลอก นั่นเพราะคิดว่าข่าวออนไลน์เป็นของจริงหมด
5. ทุกคนต้องตั้งธงไว้ที่สติ ฝึกตั้งคำถาม ก่อนไปถึงข้อสรุป
6. สังคมต้องแยกแยะให้ได้ ว่าใครคือสำนักข่าว ใครคือความคิดเห็น ใครคือ Influencers/ Guru ใครคือสายบันเทิง ต้องหัดดูให้ออก แยกแยะให้ได้
7. คุณภาพสำนักข่าว และตัวบุคคล ได้มาตรฐานหรือไม่**
เพราะมาตรฐานเปลี่ยนไป จริงหรือ?
8. Social media หล่อหลอมเราจริงหรือไม่ ?
ไม่จริง : ตัวตนเราหลายล้านคนต่างหากที่ร่วมกันสร้างเนื้อหาและบรรยากาศให้ social media ของสังคมแต่ละประเทศขึ้นมา
9. กรณีข่าวลุงพล สิ่งที่สมควรจะตั้งคำถามก็คือว่า
"แค่สื่อเหรอ ที่เป็นปัญหาใหญ่ ? หรือที่จริงต้องแก้ไขกันทุกฝ่าย ?
10. บทแนบท้าย "แล้วเราทำอะไรได้บ้าง?"
.................................................................
ขยายความ
1. Watch dog สื่อยุคแรกเริ่ม มีบทบาทหน้าที่อันยิ่งใหญ่ สมัยก่อนทฤษฎีทางสื่อสารมวลชนจะเรียกสถาบันสื่อมวลชนดีๆ ที่มีหน้าที่ปกป้องสังคม และเฝ้าระวังผลประโยชน์ของสังคมและโลกโดยรวม ว่า 'Watch Dogs' มันเป็นเรื่องน่าขำที่ตอนนี้เราต้องมานั่ง 'watch e watchdog' นี่อีกต่อนึง . นั่นแปลว่าต้องสามารถจับตา และเราจะควบคุมข่าวสารที่มันจะเกิดขึ้นได้นั้น เราต้องเหนือกว่า สิ่งที่เราจะทำให้เราเป็น master ของ dog ตัวนั้น ก็คือ 'สติ' และ 'การรู้เท่าทันสื่อ' นั่นเอง
**แต่คือพี่คะ ถ้าพี่คิดได้ไม่มากกว่าน้องหมา จะเป็นนายหมาได้ยังไง สรุปว่าใครจะจูงใคร ..
ช่วยด้วย
2. ทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นสื่อ : มโนแชนแนล
คนสื่อสารแบบไร้สติ แชร์เก่ง จะคิดว่าตัวเองมีผู้อ่านทิพย์ มีหน้าที่ทิพย์ มีทีวีทิพย์ มีโลกทิพย์ เพราะตนคือนักข่าวทิพย์ รู้ก่อนเก่งกว่า
.
ประเด็นคือตอนนี้ เราไม่ได้มีเฉพาะสื่อจริงๆ ที่กฎหมาย สามารถเข้าไปรวบรวม แล้วก็ควบคุม และตราจรรยาบรรณกำกับและสะกดเอาได้ - มันไม่ทันแล้ว
.
ทุกคน ทุกวง ลุกขึ้นเป็นสื่อหมด จ่ายครบจบง่าย ลงโฆษณาได้ตามชอบ เพจข่าวเกิดเร็วอย่างกับดอกเห็ด กินได้บ้าง เป็นเห็ดพิษบ้าง ตายๆ กันไป เป็นใบไม้ร่วง แต่ต้นไม้พิษยิ่งวันยิ่งโต
.
เรื่องนี้ ตัวเจ้าของแพลทฟอร์มเองก็พยายามกรอง ตัวอย่างเช่น เฟสบุ้ค มีแผนกกรองเนื้อหาต้องห้ามที่ใหญ่โตมาก พนักงานเป็นพันคน แต่ก็กรองไม่ทัน
**แต่ลองคิดหลักการง่ายๆ นะ
"เขาจะมาปกป้องเราทันไหม ถ้าเราไม่ปกป้องตัวเอง?"
ปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ กสทช. หรือรัฐ หรือการกำกับดูแลอย่างเดียว ปัญหาใหญ่กว่าคือเราหลงประเด็นกัน เมื่อวาน มีคนสังเกตว่า สตช.ปล่อยข่าวคดีลุงพลออกมาตอนอภิปรายงบประมาณแผ่นดิน คือทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นสื่อ ทุกคนจับโป๊ะรัฐบาลได้ คือเก่งงง.. .. เดี๋ยว !! ประเด็นเรื่องนี้คือมันเป็นคดีฆาตกรรม ต้องหาตัวผุ้กระทำผิด เอามาลงโทษ เรื่องมีเท่านี้ เราทำมันเสียจนกลายเป็นละคร เราขยี้กันเป็นปี .. กับแรงประโคมสารพัด ไหนจะช่วยกันกระหน่ำให้ความสำคัญไปอีก
1 เสียง/ 1 โพสต์ / 1 แชร์ สามารถสร้างหายนะได้ อย่าประมาทไป สร้างความวุ่นวาย สับสน ขัดแย้ง สร้างฝักฝ่าย และปะทะแรงๆ ทุกระดับได้มากกว่าที่เคยเป็นมาทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นสื่อ ส่วนสื่อ - เอาคดีมายำเป็นละคร อีกนิดเดียวสัมภาษณ์แมลงในที่เกิดเหตุละ เดี๋ยวนะ แค่เรามีเงินจ่ายค่าเน็ต ยังเป็นสื่อไม่ได้ค่ะ . ประเด็นที่ 3 คือทุกคนคิดว่าสิ่งที่เห็นออนไลน์เป็นของจริง มนุษย์มีนิสัยขี้เกียจอ่านเยอะ / ชอบความเพลิดเพลิน ไม่ชอบคิดเยอะมโนตามที่อยากให้เป็นเรายังก้าวไม่พ้นยุคทีวีขาวดำ แทบทุกอย่างผลิตโดยรัฐ รายการที่ไม่ใช่รัฐก็ออกช่องของรัฐอยู่ดี . เมื่อใครมาเล่าให้ฟังอย่างนี้ เราก็ต้องสอบทานกลับไปด้วยการตั้งคำถาม คนเรามักจะมีอุปนิสัยที่จะตอบโต้บทสนทนาด้วยสิ่งที่เรารู้มา และสิ่งที่เราคิด (ซึ่งจะเอาอะไรมาแน่ใจว่าข้อมูลของเรามันจริง???) แต่เราขาดนิสัยที่จะตั้งข้อสังเกต ข้อสงสัย . ดังนั้น เราจึงมีระบบประสาทที่จะชินกับการตอบโต้กลับไป ด้วยความคิดที่เราเชื่อ จนเป็นนิสัย นำไปสู่การโต้เถียงกัน ในที่สุด 555 ทุบกันเสร็จ บ้านแตก สบายใจ เราก็ไม่ได้รู้อะไรใหม่ นอกจากเรื่องที่เรารู้อยู่แล้ว ส่วนสิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมา คือความขัดแย้ง และศัตรูอีก 1 คน โดยมากเป็นคนในบ้าน (ฮา) พ่อบ้านใจกล้ามักจะหัวแตกง่าย
4. การ 'ตั้งธง' ให้ดีก่อนที่จะสื่อสาร และรับสาร เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ธงรบแต่เป็นธงสันติภาพ ว่าเราจะดูข่าวเพื่ออะไร สื่อสารเพื่ออะไร จะคุยไปเพื่ออะไร จะรับรู้เรื่องพวกนั้นไปเพื่ออะไร สิ่งที่ช่วยให้เราไม่ซวดเซ เราต้องจับก้านธงที่ปักแน่นบนพื้นไว้ให้ได้ และมั่นคง ธงนั้นคือ "สติ" . เราไม่ต้องเถียงกันทุกเรื่องก็ได้ 5555 เราไม่ต้องถกเถียง - ถากถางกันเพื่อที่จะบอกว่าความคิดของใครถูก จริงๆ เราไม่ควรไปสู่จุดที่ต้องถกเถียงกันด้วยซ้ำ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่จะพัฒนาชีวิต และความคิดของเรา คำถามเรียกสติ : "เถียงกันไปเอาอะไร?" . 'การถกเถียง' เป็นไปได้แต่ต้องไม่มืดบอดด้วยความคิดที่ว่าตัวเองรู้อยู่คนเดียว เก่งกาจอยู่คนเดียว เชี่ยวชาญอยู่คนเดียว อ่านออกเขียนได้อยู่คนเดียว ได้ข้อมูลที่ถูกที่สุด อยู่คนเดียว จะเห็นว่าลงท้ายด้วยคำว่า "อยู่คนเดียว" นั่นแหละ คำตอบอยู่ในตัวแล้ว คนที่มั่นใจเกินจริงว่าตัวเองรู้ดีที่สุดมันน่าเบื่อ และเป็นส่วนหนึ่งที่ซ้ำเติมปัญหาสังคม . คนที่มีโลกทิพย์ของตัวเอง มีสองประเภท คืออรหันต์กับคนบ้า อรหันต์ได้มาด้วยการปลีกวิเวกและมุ่งเจริญสติ ส่วนอาณาจักรทิพย์เป็นของคนบ้า เรียนเชิญกดบัตรคิว รับยา และพกถุงกาวไปโลกหน้าได้เลย . เพราะในโลกนี้ ไม่มีใครที่รู้อะไรจริงที่สุด ถูกต้องที่สุด เพราะ 'สิ่งที่จริงที่สุดและถูกต้องที่สุดมันไม่มีอยู่จริง' ไง เก็ทไหม ? ทุกอย่างเปลี่ยนไปในทุกนาที โดยเฉพาะโลกของข้อมูลข่าวสาร ที่ล้วนมีผลประโยชน์แอบแฝง มีความมากมาย ซับซ้อน มหึมามหาศาล และสับสน . ประเด็นที่ 5 การไล่ปราบ Fake News : ทันมั้ยล่ะ กับระดับ literacy คนไทย ที่ยังไม่เข้าใจความเชื่อมโยง และหายนะ ข่าวลือร้ายๆ สามารถทำให้หุ้นตกระเนระนาด ซ้ำเติมปัญหา ซ้ำเติมสังคม และนั่นคือการทำลายเศรษฐกิจเห็นๆ ถ้ายังมองไม่เห็นความเชื่อมโยง เราควรมีคนกลางที่เอาเรื่องพวกนี้ออกมาบอกกัน สอนและสื่อสารให้เข้าใจ " ในไลน์นี่เยอะเลย ข่าวปลอมค้างปีด้วยซ้ำ ที่เพิ่งแชร์กันมา ข่าวปลอม / กระหน่ำด้วยข่าวปลอมซ้อนปลอม / แถม + เททับด้วยอคติเท่าจำนวนคนแชร์ ก็จะถูกส่งต่อไปอีกมากมาย โลกออนไลน์มันถึงได้เลอะเทอะไปหมด ไม่ไหวจะเคลียร์
และใช้สติเมื่อเห็นพาดหัวข่าว
หลายสำนักหยิบเอาข้อมูลทั่วไปมาบิดๆ ผ่าน 'พาดหัวข่าว' คนอ่านก็เลือกคลิกเข้าไปอ่านตามพาดหัวแบบที่ตัวเองชอบ ชอบความรุนแรงก็คลิกหัวข่าวที่พาดหัวแล้วดูรุนแรงฉูดฉาด ชอบฝ่ายค้านก็คลิกหัวข่าวที่อวยฝ่ายค้าน ชอบรัฐบาลก็จะเลือกอ่านเฉพาะข่าวที่ออกมาปกป้องรัฐบาล อ่านไปตบเข่าตัวเองไป ถูกใจ ถูกจริต เล่าข่าว พยากรณ์คดีเป็นตุเป็นตะ ตามหน้าตา ตามความดัง ของตัวบุคคลในข่าว
.
เดี๋ยว 2 : สรุปนี่ข่าวหรือละคร สมัยก่อนดูข่าวเสร็จ เขามีแต่ละครหลังข่าว ตอนนี้คือละครก่อนละครอีกทีนึง ข่าวเขิ่วอะไร ไม่มี้ 5555
**นั่นคือเรากำลังเป็นทาสของโลกข้อมูล ข่าวไร้สาร เครื่องคำนวณ มันเข้ามาควบคุม กำกับ บังคับความคิดและอารมณ์ของตัวเอง เราจึงเห็นว่ามีคนจำนวนหนึ่งในโลกออนไลน์ รู้ทุกอย่าง เก่งทุกเรื่อง เข้าถึงวงในของทุกวง แต่ไม่รู้จักตัวเอง และนิ่งไม่เป็น
*****สติคือคำตอบของทุกเรื่อง******
* เริ่มจากตัวเอง สร้างอุปนิสัยในการตั้งคำถามเสมอ เช่น ถ้ามีคนมาบอกว่า 'เมื่อวาน ข่าวลุงพลถูกปล่อยออกมาในจังหวะที่มีการอภิปรายงบประมาณสถาบันพระมหากษัตริย์พอดี' อันนี้ เดาว่าเป็นความสมัครใจ สิ่งที่ต้องทำคือ *อย่าเพิ่งไม่เชื่อ และอย่าเพิ่งเชื่อ* มันไม่ใช่หน้าที่ของวิญญูชนที่จะมาลุกขึ้นเชื่อหรือไม่เชื่อ
* สิ่งที่ต้องทำคือหัดนิ่ง และพิจารณา อย่างที่เคยพูดแล้วว่าในทางพุทธเรียกว่าธัมมวิจยะ มันคือการพิจารณาสิ่งรอบตัวไป อะไรที่คิดว่าสำคัญก็ให้พิจารณา อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์กับชีวิตและความเติบโตของสติปัญญา ก็ละวางไปบ้าง
* กรณีข่าวลุงพล สิ่งที่สมควรจะตั้งคำถามก็คือว่า แค่สื่อผิดเหรอ ? หรือที่จริงผิดทุกฝ่าย จริงหรือที่มีข่าวลุงพลออกมาในจังหวะที่กำลังมีการอภิปรายงบประมาณ ก็ต้องฝึกการถาม ควรสงสัยกลับไปว่าจริงไหม ตอนทุกช่องออกข่าวเรื่องหมายจับนั้นเป็นเวลากี่โมง? แล้วสองข่าวมันเกี่ยวข้องกันยังไง ? แล้วถ้ามันเกี่ยวข้องกันได้ มั่นใจได้ยังไงว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ? หรือเพราะมันตรงกับที่เราเลือกจะเชื่อ /เลือกจะไม่เชื่อ อ่านจากสถานีข่าวไหน สถานีข่าวนั้นมี ผลประโยชน์อะไรอยู่เบื้องหลังไหม? . การทำเช่นนั้นจะก่อประโยชน์ยังไงหรือก่อโทษยังไง กับผู้ที่อยู่ในเนื้อขาว ? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องที่เราไม่อาจจะล่วงรู้ได้เพราะไม่ได้ติดตามข่าว? . หรือข้อสังเกตนี้อาจจะนำพาไปสู่ความคิดที่ว่า ตกลงจริงๆ ลุงพลคือจำเลยในเรื่องนี้จริงหรือไม่? ได้ทำความผิดมาจริงหรือไม่ ? ซึ่งย่อมก่อให้เกิดความเบี่ยงเบนทางวิธีคิดและ ความเบี่ยงเบนของศรัทธาที่มีต่อสถาบันที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจ และตัวสื่อเอง ไม่กี่ชั่วโมงหลังถูกจับ ก็มีคำว่า”แพะ” ตามสื่อสังคมออนไลน์แล้ว .
** ทุก platforms เขาก็อยู่เพื่อทำเงิน ของฟรีไม่มีในโลก เราอย่าซื่อนัก สำนักข่าวใหญ่น้อยทั้งหลาย เขาก็คือธุรกิจ อยู่เพื่อแสวงหารายได้ แม้กระทั่งเฟคนิวส์ ก็อยู่เพื่อหาเงิน ข่าวในทุกแพลทฟอร์ม และ social media อยู่ใต้ระบบทุน อย่าซื่อนัก ของฟรีไม่เคยมีในโลก ***ไม่มี demand ข่าวปลอมจะมีความหมายอะไร . ** สื่ออีกประเภทหนึ่ง ตัวอย่างเช่น Youtubers / influencers ทุกคนก็ต้องการประโยชน์ทั้งนั้น ทุกคนพยายามหาสไตล์ ขายความคูล ความเท่ แต่ไม่ว่าสไตล์จะเท่แค่ไหน ** ตรวจสอบดูว่าเขาให้สติคุณหรือเปล่า : สไตล์ ไม่เท่ากับสติ** กูรูแต่ละสาขา ขายหลักสูตรออนไลน์ อายุ 20-30 กว่าๆ เขามายังไง?
**Social media ไม่ได้หล่อหลอมเรา ตัวตนเราหลายล้านคนต่างหากที่ร่วมกันสร้างเนื้อหาและบรรยากาศให้ social media ของสังคมแต่ละประเทศขึ้นมา
social media แต่ละประเทศไม่เหมือนกันเลย จีน ตุรกี หรืออินเดีย ล้วนเป็นไปตามคนของประเทศนั้นๆ
** ที่ภูฎาน ตามริมถนนจะมีกัญชาขึ้นอยู่เป็นดงเหมือนหญ้าคาบ้านเรา มีดาษดื่นทั่วไป ก็ขนาดวัวควายมันยังไม่กิน คนภูฏานไม่เดือดร้อน กัญชาก็แค่วัชพืช รู้แล้วก็อย่าไปยุ่ง มนุษย์ไปยุ่งกับมันเอง
คนภูฎานไม่กลัวกัญชา
กัญชาไม่อันตราย วัวควายมันยังไม่กิน
มนุษย์ประเทศอื่นเอากัญชามาทำอันตรายต่อตัวเอง
..
คุณภาพตัวบุคคลของสำนักข่าว ไม่ได้มาตรฐาน เขียน/อ่าน/พูด และ คุณภาพตัวผู้ประกาศ/ และ questioning skill ยังไม่ได้
เมื่อวานมีคนยื่นไมค์ถามแม่ของผู้เสียชีวิตว่า "คิดว่าลุงพลหนีทำไม"
**สื่อเขียนลุงพลด้วยมือ มาดูกันว่าสื่อจะลบลุงด้วยอะไร**
เมื่อวานค่ายใหญ่ 'ลบ' เพลงที่ลุงพลเคยร้องคู่กับจินตหรา คนแห่ดูกันเป็นสิบๆ ล้านวิว ส่วนจินตหราบอกว่า "เสียใจจังที่ดูคนผิด" "จินไม่เคยสนิทกับลุงพล"
* สื่อสืบแซะจนบ้านกกกอกแทบแตก ราวกับจะเป็นตำรวจ ส่วนตำรวจก็พยายามจะเกรงใจสื่อ
นักข่าวขยี้อีกต่อ คดีฆาตกรรมกลายเป็นละคร ก่อนละครจริงหลังข่าวจะมา
เราทำอะไรได้บ้าง ?
** ระดับครอบครัว สังคม คนในสังคมต้องดูแลกันและกัน ดูแลคนในบ้าน คนแก่ อย่าให้ติดรายการเล่าข่าว ชี้ให้เห็นความรุนแรงผ่านข่าว ดูแลตัวเองไม่ให้เข้าไปในวังวนดราม่า เช่นช้อปปิ้งออนไลน์ ได้ของปลอม ปล่อยลูกหลานเล่นเกมออนไลน์กับคนแปลกหน้า ซึ่งจะพาไปสู่แวดวงการค้ามนุษย์ สอนเด็กเรื่อง cyber bully และ hate groups
.
** ครูบาอาจารย์ ผู้ใหญ่ ต้องช่วยกันรักษามาตรฐาน การปล่อยวาง ไม่เหมือนกับการปล่อยปละ
คำว่า ”อย่าไปซีเรียส” ก็ใช้ได้แค่ในบางกรณี แต่ถ้าเรา compromise standards ก็อย่าบ่นว่าสังคมมันเสื่อมถอย
ที่สังคมมันเสื่อมทรามเรื้อรังมาอย่างนี้ ส่วนหนึ่งเพราะผู้ใหญ่เคยละเลย เวลาถูกถอนหงอก คนรุ่นอื่นๆ เขาถอนหงอกเรายกรุ่นค่ะ
————————————————
.
อย่าให้เกิดบทสนทนาที่ว่า
คนไทยบ่น :"ทำไมเมืองไทยเป็นอย่างงี้?"
ชาวต่างชาติตอบ : "เมืองไทยเป็นแบบนี้ก็เพราะมีคนไทยไงจ๊ะ" 5555
ประเทศก็เหมือนกันหมดแหละ ต่างกันที่นิสัยคนเจ้าของประเทศ
.
**องค์กรสื่อเอง ให้มองยาวๆ เป็นสำนักข่าวก็ต้องลงทุนกับคุณภาพข่าว กำลังถูก disrupt และอยู่ในขาลง อย่าทิ้งมาตรฐานถึงขนาดไปเอาเนื้อหาจาก social media มานำเสนอมากนัก
องค์กรข่าว องค์กรสื่อ กับ social media มันคนละศักดิ์ศรีกัน ถ้าทิ้งจุดขายนี้ ข้างหน้ามืดมน
เพราะตอนนี้ AI ทำข่าวเองได้แล้ว พูดเลย
** ภาคเอกชน : งานด้าน HRD อยากให้เรื่องสื่อสารเป็นนโยบายระยะยาวของบริษัทต่างๆ ในอันที่จะพัฒนาบุคลากร ให้มี media literacy บรรจุเรื่องเหล่านี้ลงในหลักสูตร ทุกระดับและวัย อยากให้ภาคเอกชนรณรงค์ให้ความรู้แก่คนในองค์กร
**ภาคธุรกิจ พิจารณาเลือกช่อง และสปอนเซอร์สำนักข่าวที่ดี ประคับประคองกันไปในระยะยาว เพราะระบบที่ engagement สูงๆ เป็นภาพลวงตา พวกสื่อเขาจ่ายเงินซื้อไลค์กันจ้ะ โปรดตื่น
** กองทุนต่างๆ เช่น กองทุนสื่อสร้างสรรค์ โปรดเน้นเปิดรับและสนับสนุน "โครงการสื่อคุณภาพ" และ "การรู้เท่าทันสื่อ" ให้ต่อเนื่อง เหมือนที่เรารณรงค์โครงการ "เมาไม่ขับ" หรือ "ให้เหล้าเท่ากับแช่ง" ฯลฯ . ของแบบนี้ต้องทำระยะยาว แต่ต้องเริ่ม เมืองจีนตอนนี้ก็มีหลักสูตรประกาศนียบัตรพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์แล้ว อยากเห็นคนไทยรู้เท่าทัน มีความรู้เรื่องสื่อและโลกออนไลน์ . ** ระดับนโยบาย ไม่หวังอะไร ขออวยพรให้รัฐเองเอาตัวให้รอด ต้องใช้ไสยศาสตร์แล้วแหละ 555 - ล้อเล่นนน
**รัฐต้องมีโครงการ มีนโยบาย ไม่ว่าจะระยะสั้นหรือยาว ให้การศึกษาคนในสังคม ทั้งเมืองทั้งชนบท ผ่านทั้งสื่อหลัก และสื่อออนไลน์ แต่ตอนนี้ จากเรื่องวัคซีน เหมือนจะพังโชว์ 5555
Comments