คินสึงิ : คืนดีกับอดีต ประณีตกับปัจจุบัน

ต่าง หรือแตก
ความต่างเป็นธรรมดาที่อยู่คู่มากับโลก กับธรรมชาติและสรรพชีวิต ความต่างจรรโลงทุกสิ่งเข้าไว้ด้วยกัน เกิดท่วงทำนองมหัศจรรย์จากสีสันและรูปแบบ ในยุคสมัยที่ระบบอุตสาหกรรมยังไม่เกิดมา ในธรรมชาติแห่งโลกกว้างใหญ่ ไม่มีสิ่งใดเหมือนกัน โลกประกอบขึ้นด้วยความงามจากทุกรอยแยก เปลือกไม้ ร่องระแหงบนผืนดิน สาขาของไม้ใหญ่ ช่องเขา เส้นทางของแม่น้ำที่แยกสาย ทุกสิ่งงดงาม
ในเมื่อเราเกิดมาและดำรงอยู่กลางความงดงามอันยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ ที่สอดประสานกันขึ้นมาจากความต่าง เราเคยย้อนถามตัวเองหรือเปล่า ว่าทำไมเราจึงเรียกร้องเพียงความเหมือน

จะเพราะอะไรก็ตาม มนุษย์พากันเชื่อว่าความคิดของตน คือมาตรวัดผู้คนและตัดสินชีวิตอื่น เราตีตราคนที่คิดต่างจากเรา และปฏิเสธความคิดต่าง ความเห็นต่าง และการกระทำที่ต่างเมื่อความต่างกลายเป็นสิ่งที่แยกมนุษย์เราห่างออกจากกัน นั่นคือเกิดคำว่า “แตกต่าง”การ “แตก” เกิดเพราะเราไม่ยอมรับความต่าง แรงกระทบกระทั่งมีหลายระดับ แตกสลาย แตกย่อยยับ แตกกระจาย แตกเป็นเสี่ยงๆ หรือแตกร้าว

คินสึงิ : รหัสซ่อมชีวิต
หลายคนรู้จักคินสึงิจากปรัชญา “วาบิ - ซาบิ” ทั้งซาบิ และคินสึงิ ล้วนสะท้อนถึงความสามัญแห่งวัตถุและความสงบงามภายในจิตใจ ที่มาพร้อมกับกาลเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไป
คินสึงิ (Kintsugi) เมื่อแปลตามศัพท์ในภาษาญี่ปุ่น Kint แปลว่าทอง ส่วน “sugi” แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า joinery นั่นคือ “รวมกันด้วยทอง”ความแตก บิ่น และรอยร้าวไม่ใช่สิ่งที่ทำให้วัตถุใดๆ หมดคุณค่า สิ้นหน้าที่ ทั้งรอยบิ่นใดๆ ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราต้องหมุนไปซ่อน หันหนี หรือหลบเร้นไว้ ด้วยวิถีคินสึงิ อดีตที่เคยร้าวรานจะถูกนำออกสู้แสงด้วยซ้ำไป ขอแค่เราเข้าใจเรื่องราวของความแตกร้าวนั้น เราจะเล่าถึงมันได้ เราจะเห็นค่า และมานะซ่อมแซมมันด้วยความนิ่ง และความปลงใจ เราย่อมถ่ายทอดความรู้สึกและความสำนึกนั้นได้ และยอมรับประสบการณ์ที่ผ่านมาและสู้หน้าปัจจุบันได้เท่าเดิม
วิถี “คินสึงิ” คินสึงินั้นไม่ใช่วิธีซ่อม แต่เป็นศิลปะ : Japanese art of repairing ที่มีประวัติอันยาวนาน นับแต่สมัยมูรามาจิ มีโชกุนท่านหนึ่ง นามว่า Shikagu Yoshimitsu ได้ทำป้านน้ำชาใบงามตกแตก ป้านชานั้นมีความหมายจนไม่สามารถกวาดทิ้งไปให้จบๆ เรื่องได้ ท่านได้ส่งป้านชาใบนั้นไปยังศิลปินผู้ปั้นในประเทศจีนต้นทาง เพื่อหาวิธีซ่อมแซม ซึ่งในเวลานั้น น่าจะเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ทางจีนก็ซ่อมมาประสาจีน โดยใช้เส้นโลหะเย็บชิ้นส่วนกระเบื้องติดกัน ชวนให้นึกถึงแฟรงเกนสไตน์ ท่านโชกุนจึงต้องคิดหาหนทางที่จะซ่อมป้านชาให้ออกมาดู “ดีกว่าของแตก” ซึ่งหากเป็นเราในยุคสมัยใช้แล้วทิ้ง เราก็คงหมดปัญญา แตกแล้วก็ทิ้งสิ ออกไปซื้อใหม่เร็วกว่า แต่ท่านโชกุนได้หารือแล้วบัญชาให้เชื่อมชิ้นส่วนของป้านชาเข้าหากันเป็นรูปเดิม ด้วยยางไม้ญี่ปุ่น ที่เรารู้จักกันในนาม “รักญี่ปุ่น” หรือแลคเกอร์ธรรมชาติ แล้วทาบทับรอยต่อเหล่านั้นด้วยผงทอง

ชนชาติญี่ปุ่นคือชนชาติญี่ปุ่น การซ่อมครั้งนั้นกลายเป็นต้นแบบที่ผู้คนพากันกล่าวขาน อ่านรหัสคุณค่า แล้วยึดถือเป็นวิถีสืบมา คนที่อ่านมรดกนามธรรมนี้ได้ชัดเจน และถ่ายทอดออกมาได้คมคาย คือครูช่างคินสึงิแห่งเกียวโต นครหลวงเก่าแก่แห่งความงาม งามตามธรรมชาติและธรรมดาโลก
“อย่า -ได้ - ยอม -แพ้”
ครูช่าง ฮิโรกิ คิโยกาวา Hiroki Kiyogawa ใช้เวลาเกือบตลอดชีวิตในฐานะ restorer เรืองนาม สำหรับครูช่างวัยเกือบหกสิบปีผู้นี้ คินสึงิคือ “การนำกลับมาซึ่งคุณค่าด้านความรู้สึก” ด้วยกาลเวลาหลายสิบปี กับงานประจำวันที่สงบงัน ในอ้อมกอดล่องหนของสมาธิ ละเอียดอ่อนเกินคำว่าประณีต กินเวลาเกินคำว่าเนิ่นนาน ชำนาญเกินคำว่าช่ำชอง และทั้งที่เป็นงานซึ่งดูเหมือนจะทำง่ายนี้ สตูดิโอโบราณเล็กๆ ริมถนนสายรองอันเงียบสงบของคิโยกาวา ยืนยงผ่านเวลา แสงแดด หิมะและลมฝนมาหลายสิบปี และยังมีเจ้าของเครื่องเคลือบดินเผาเดินทางมาพร้อมกล่องไม้ห่อผ้า เพื่อนำของแตกมาส่งให้ครูช่างช่วยคืนสภาพอยู่ทุกวัน ชิ้นส่วนเหล่านั้นเคยเป็นภาชนะใบเดียวกัน เคยแตก บิ่น ร้าว - แต่ยังไม่สลายในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำให้โรงงานเครื่องเคลือบโบราณแห่งเกียวโตถล่มทลายแทบจะกลายเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มีแต่ความกระจัดกระจาย หมื่นแสนชิ้นส่วนแตกหักพังภิณฑ์ และในเมื่อเป็นไปไม่ได้ที่จะคุ้ยหาชิ้นส่วนของภาชนะใบเดียวกันมาประกอบเข้าหากัน ภัยพิบัติครั้งนั้นกลับกลายเป็นที่มาของชิ้นงานจากเครื่องเคลือบคนละใบ - มาประกอบร่างขึ้นใหม่เมื่อเวลาผ่านไป ชิ้นส่วนจากภาชนะต่างใบ ต่างกรรม ต่างวาระ ต่างเนื้อดิน ต่างศิลปะ ต่างยุคสมัย แม้แต่ต่างเทคนิค แต่ก็ยังมีคนที่มีความฝันและมุ่งมั่นที่จะนำชิ้นส่วนเหล่านั้นคืนมารวมกันให้จงได้

ที่สตูดิโอของครูช่างคิโยกาวา จึงยังมีผู้คนเดินทางมาเรียนปรัชญา และศิลปะคินสึงินี้อยู่ไม่เคยขาดสายเราไม่อาจแน่ใจได้ว่าผู้คนเหล่านี้ต้องการสืบทอดศิลปะโบราณในการซ่อมเครื่องกระเบื้องอันแตกร้าวคืนมา เพื่อเพิ่มคุณค่า หรือเพราะผู้คนปรารถนาที่จะเรียนวิชา “การเยียวยาตัวเอง” ก่อนจะซ่อมแซมให้คืนทรง ครูช่างต้องใช้จิตว่าง นั่งพินิจ และพิจารณา นำเอาชิ้นส่วนทุกชิ้นมาซักซ้อมเข้าหากัน เพื่อเข้าใจสัดส่วน ช่องว่าง ดูสิ่งที่มีอยู่ นึกถึงส่วนที่เสีย - หายโดยถาวร คำนึงถึงรอยต่อ รอยโหว่ ความคม และความลงตัวของทุกชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ในมือในกระบวนการซ่อม หลายคนพร้อมที่จะถอดใจ เพราะการซ่อมใช้เวลานานกว่าปั้นและเผาใบใหม่ ทว่าการซ่อมต้องอาศัยพลังสมาธิ ความรัก ความหวัง ความพยายามและความปรารถนาดี แม้แต่กับวัตถุในมือที่ไม่เคยมีชีวิตมาก่อนหน้านี้ก็ตาม บางคนจึงสมัครที่จะเรียกกระบวนการคินสึงิว่า “การบังเกิดใหม่” หรือ reincarnation ทั้งต่อวัตถุชิ้นนั้นๆ และต่อจิตวิญญาณคนซ่อมเอง

จริงอยู่ ที่เครื่องเคลือบและดินเผา เสมือนจะเป็นตัวแทนของความบอบบาง และไม่ว่าผู้ปั้นจะรู้ตัวหรือไม่ เครื่องเคลือบเหล่านั้นถูกปั้นขึ้นมาพร้อมความหวาดหวั่นถึงการกระทบกระแทก และความแตกร้าว อันเป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึงและอาจไม่มีวันมาถึง กระนั้นก็ดี ไม่ว่าเครื่องเคลือบชิ้นนั้นๆ จะแตก จะบิ่นหรือไม่ เมื่อไหร่ก็ตาม คิโยกาวาเชื่อว่า “ความเข้มแข็งย่อมจะดำรงอยู่” ในอิริยาบทนอบน้อม แต่แววตาแกร่งด้วยความหมาย ใจความหลักจากครูช่างคือ “อย่า-ยอม-แพ้”ขอบคุณความหมายในอากาศที่แววตานั้นส่งมา ว่าทั้งภาชนะและหัวใจ แม้แตกได้ ก็ซ่อมได้ ไม่มีใครตาย ถ้าเรียนรู้และอยู่เป็น
กระทบหลายแบบ แตกเป็นหลายเสี่ยง
ทั้งเครื่องเคลือบ ชีวิต และความสัมพันธ์ ล้วนมีเรื่องราวแม้จากความเสีย หาย แตก หัก รอยแตกเล่าได้ทันที ว่าเคยมีของแข็งสองสิ่งกระทบกัน การแตกมีหลายระดับ นั่นก็เล่าถึงแรงปะทะที่ผ่านไป กระทบกันเองจนบิ่น หรือของหนักตกแรง ตกจากที่สูง แรงปะทะหนัก หรือผิดหวังสูง ก็ซ่อมยาก ใช้เวลานานกว่าจะประสานคืน คราวต่อไป แม้ซ่อมคืนทรงได้ ก็จะไม่ค่อยกล้าใช้ และบอบบางกว่าใบอื่นๆ แม้แต่อุณหภูมิที่ปราศจากตัวตน ก็ยังทำให้ของแตกได้ ร้อนเกินไป หรือเย็นเกินไปก็ทำให้เสียหายได้ทั้งนั้น ขอเราจงพินิจการแตกร้าว เพื่อเราจะได้รู้ทัน และคอยเตือนสติตัวเองไว้ ว่าอย่าให้อะไรมันแตกหักกันง่ายนักเลย เพราะแตก หรือร้าวเสียแล้วเป็นอันว่าซ่อมแทบไม่ได้ ด้วยว่ายากยิ่งและอันที่จริง ภาชนะแต่ละใบ ชีวิตแต่ละคน ตื้นลึกหนาบางไม่เท่ากันอยู่แล้วตั้งแต่ต้น การซ่อมความรู้สึกและรอยร้าวในใจคน จึงไม่เคยมีสูตรสำเร็จที่จะใช้เยียวยาการมาเติมเต็มก็เช่นกัน ภาชนะใหม่หลายชิ้นเกิดจากภาชนะเก่าอย่างน้อยสองชิ้นมาเข้ารูปร่วมกัน ภาชนะจำนวนหนึ่ง - หรือจิตใจ- มีรอยโหว่ที่ไม่อาจหาเศษกระเบื้องชิ้นเดิม หรือคนเดิมมาเติมกลับได้ ด้วยว่าแรงปะทะรุนแรงเกินจะกอบกู้ และชิ้นส่วนแตกป่นปี้สูญหาย นั่นก็ต้องอาศัยสมาธิพินิจดูว่าจะอุดช่องว่างนั้นได้อย่างไร โดยมากมักเป็นบทบาทของทอง หรือวัสดุใหม่ หรือ “การเรียนรู้และเข้าใจ” สิ่งใหม่ที่เข้ามาเพื่อเชื่อมบาดแผล
หลายคนที่มี หรือเคยมีคู่รัก มักรู้สึกว่าคู่ของตนนั้นเข้ามาเพื่อ “เติมเต็ม” กันและกัน นั่นชัดเจนว่ามนุษย์ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเต็มอยู่ก่อน - ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะว่างเปล่าแค่ไหน หรือเมื่อใครสักคนเดินออกไป ทิ้งช่องกลวงๆ ในชีวิตไว้กว้างใหญ่เพียงไร ถ้าตั้งใจแรงกล้าว่าจะซ่อมแซมกอบกู้จิตใจกลับคืนมา เราก็ควรจะทำได้

แรงรัก
เมื่อจะนำเอาชิ้นส่วนกระเบื้องติดคืนเข้าหากัน ช่างคินสึงิในวิถีดั้งเดิมจะใช้ยางรัก และแป้งผสมกันเป็นตัวประสานและยาร่องว่าง ทิ้งให้แห้ง ก่อนจะขัดเบาๆ ให้พื้นผิวเรียบเสมอกัน แล้วจบด้วยการทาบทาผงเงิน หรือผงทอง เป็นตัวเคลือบคลุมผิวนอก
รัก : ของเหลวข้น ได้จากยางไม้ยืนต้นชื่อ “รักใหญ่” สกุลเดียวกับมะม่วง คนละชนิดกับรักชนิดพุ่มที่ให้ดอกรักนำมาร้อยมาลัย ต้นรักใหญ่ หรือต้นน้ำเกลี้ยงจะให้ยางดิบสีขาว ลักษณะเดียวกับยางพารา เมื่อทิ้งไว้จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ก่อนใช้ในงานศิลปะต่างๆ ผู้ใช้จะนำมาแปรคุณสมบัติให้พร้อมใช้ เช่นทำให้ข้น เหนียว เจือจาง หรือผสมสารต่างๆ หรือผสมสีให้พร้อมใช้งาน ช่างสิบหมู่ใช้รักในการเคลือบวัสดุ หรือใช้ประกอบงานเขียนสี ลวดลายต่างๆ ที่เรียกว่าลงรัก แล้วปิดทอง หรือล่องชาด และใช้เคลือบบนวัตถุต่างๆ เช่นเครื่องเขิน หรือตู้ลายรดน้ำ เป็นต้น ในจีน เกาหลี ญี่ปุ่นและเวียดนาม ใช้ยางจาก “ต้นรักจีน” ในศิลปะและหัตถกรรมเช่นกัน ส่วนมากจะเป็นการเคลือบจานชาม ภาชนะ ของใช้จากไม้ เรียกกันว่าแล็คเกอร์แวร์ ส่วนในวิธีคินสึงิ ผู้ซ่อมจะนำเอาผงแป้งสาลี บางตำราใช้ดินสอพอง หรือเปลือกหอยบดละเอียด ผงขี้เลื่อย หรือแม้กระทั่งเมล็ดข้าวสุก มาบดผสมกับยางรัก เพื่อใช้ต่างกาว หรือวัสดุที่ใช้ยาร่อง และเติมรอยบิ่นของภาชนะความท้าทายคือผู้ซ่อมต้องเข้าใจและมีประสบการณ์ในการใช้ยางรัก ซึ่งเป็นวัสดุที่เข้าใจยาก มีพิษ แปรผันได้ หวั่นไหวต่อความชื้น อุณหภูมิ และสภาพแวดล้อม จนบางครั้ง ไม่อาจต่อชิ้นส่วนเข้าหากันได้สำเร็จ แต่ละขั้นตอนการทายางรักต่างกาว ใช้เวลาอย่างน้อยรอยละ 12 ชั่วโมงไปจนถึงหลายๆ สัปดาห์ และไม่มีสูตรสำเร็จ
หลังจากติดชิ้นส่วนกลับเข้าหากันได้แล้วยังต้องใช้รักเชื่อมบนผิวของรอยแตก ทิ้งไว้ และทำซ้ำอีกหลายครั้ง ก่อนจะบรรจงเกลาด้วยกระดาษทรายหรือหินขัด ให้รอยนูนของรักเรียบเนียนเป็นผิวเดียวกับเครื่องเคลือบดินเผา ก่อนจะถึงขึ้นตอนสุดท้ายคือใช้พู่กันปัดด้วยผงทอง ซึ่งก็เป็นขั้นตอนที่อ่อนไหวและยากเย็นไม่แพ้กัน
ผู้ซ่อมเครื่องเคลือบดินเผาในวิถีคินสึงิล้วนตระหนักว่า ปัจจัยต่างๆ ทั้งจากธรรมชาติภายนอกและภายในใจ เป็นสิ่งที่มนุษย์เราควบคุมไม่ได้ เลือกไม่ได้ เช่นรอยแตกซึ่งพาดไปทั่ว อารมณ์ของเรา ความหนาวร้อนอ่อนแข็ง แดด ลม ฝน ความชื้น หรือรอยบิ่นที่ลึกจนเกินเยียวยา คนเราอาจจะรู้วิธีการ รู้อุปกรณ์ รู้ขั้นตอน และซ่อมของรักกลับมาได้ ทว่าทั้งผู้คนและสิ่งของ ล้วนมีการตอบสนองและความสามารถในการคืนสภาพไม่เท่ากันสิ่งของที่ซ่อมได้อาจจะไม่เหมือนเดิม และไม่ใช่ทุกความแตกบิ่น หรือทุกความร้าวราน ที่เราจะภูมิใจกับการกอบกู้กลับมาใหม่ และพร้อมจะอธิบายถึงเรื่องราวของมัน แต่อย่างน้อย เมื่อได้ลงมือแก้ไข เราควรจะอยู่กับรอยแตกร้าวได้ด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าเดิม เพราะเราได้ทุ่มเทที่จะแก้ไข เราพินิจพิเคราะห์ต้นเหตุ เราลงมือ และเราซ่อมได้ งานสำเร็จอยู่ตรงหน้า
และด้วยความยากในการกอบกู้สิ่งที่มีคุณค่าทางใจกลับมา อาจให้บทเรียนว่า ครั้งหน้าเราควรระมัดระวัง และดูแลความเปราะบางให้ดีที่สุด

เราไม่โยนของแตกทิ้งไปง่ายๆ เราไม่หันหลังให้กับคนที่สำคัญต่อจิตใจของเราง่ายๆ เพราะเราเปิดรับโอกาสที่จะชดเชยความพลาดพลั้งของตัวเอง เราแสดงความรับผิดชอบต่อความเสียหาย เพราะเราให้เกียรติมัน ในฐานะครู
เทคนิคและปรัชญาล้วนเป็นเรื่องที่เรียนรู้กันได้ แต่ถ้าเราไม่ได้แปรรูปตัวเราจากเบื้องลึกและหัวใจภายในคงเหลือแต่เศษความรู้สึกอันแหลมคมที่ทิ่มตำชีวิตอยู่เช่นนั้น
ขอเราจงทนุถนอมปัจจุบันเถิด
ที่สำคัญคือเราพึงเรียนรู้ที่จะอ่อนโยน และเบามือกับความเปราะบางให้จงดี หากแม้นชีวิตจะมีความแตกร้าวใดๆ ก็ขอให้เราโปรดได้เข้าใจ และอนุญาตให้รอยร้าวและบาดแผลนั้นนำเราไปสู่ส่ิงใหม่ที่ดีงามได้กว่าเดิมด้วยการคืนดีกับอดีต ประณีตกับปัจจุบัน แล้วรอยิ้มรับทุกฤดูกาลแห่งชีวิต

..............................................................................................................................................................
Comments